ทีวีก็ใช่ว่ามีแต่ของไม่ดี หากอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเมื่อเร็วๆนี้

ศ.นพ. วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ หน่วยระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาการแพทย์ เปิดเผยจากผลงานวิจัยเรื่องการดูโทรทัศน์กับพัฒนาการทางภาษา สังคม และอารมณ์ของเด็กอายุ 1-3 ปี พบว่าการให้เด็กเล็กดูทีวีไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง จะช่วยลดความเสี่ยงมิให้พัฒนาการทางภาษาล่าช้า หรือภาวะด้อยสมรรถนะทางสังคมและอารมณ์

ในขณะเดียวกัน จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยในปัจจุบัน ระดับไอคิวของเด็กไทยในปัจจุบันค่อนข้างต่ำ หากดูรายการที่ให้สาระความรู้ จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางไอคิวดีขึ้น 23% ละมีระดับอีคิวดีขึ้น 37% นอกจากนี้ ยังพบว่าการเลี้ยงดูโดยให้แรงเสริมทาง บวก เช่น การชมเชยเมื่อเด็กทำสิ่งที่ถูกต้องและเสริมประสบการณ์ จะช่วยพัฒนาสมรรถนะทั้งสองด้านได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ..LISA
 
พอดีไปอ่านเจอวิธีช่วยลูกหกล้มให้ผ่านฉลุยเลยเอามาแปะให้คุณแม่ทั้งหลายอ่านกันค่ะ...

ถาม: เวลาลูกหกล้มจนมีแผลถลอก ดิฉันควรแสดงท่าทีอย่างไรที่จะไม่ทำให้เขาตกใจ หรือกลัวเพราะรู้สึกผิดจนเลยเถิดไปเป็นร้องไห้จ้าละหวั่นลั่นทุ่ง

อย่ามองแค่ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่นี่คือโอกาสดีที่จะช่วยให้ลูกจัดการกับความรู้สึกที่ยากลำบากและเสริมสร้างความมั่นใจเพื่อรับมือกับความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาได้

อันดับแรกคือสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน   เพราะเด็กๆ มักจะเกิดอาการใจเสียเมื่อเห็นคุณหน้าเสีย

สอง- คุณเพียงแต่เข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วปลอบโยนเขา  เช่น “อุ๊ย รถล้มเหรอจ๊ะ”  เท่านี้ก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาลุกขึ้นแล้วปั่นจักรยานต่อได้   แต่ถ้าลูกยังดูใจเสียอยู่อีก คุณยังพูดต่อได้ “แม่รู้จ้ะว่าลูกเจ็บแผลที่หัวเข่า แม่ก็เคยมีแผลเจ็บๆ เหมือนกัน เราไปทำแผลกันดีกว่าเนอะ” พาลูกไปทำความสะอาดแผลแล้วปิดพลาสเตอร์ยาถ้าจำเป็น

สาม-ทำให้เกิดความรู้สึกดีว่าตัวเขาสามารถก้าวผ่านสถานการณ์เหล่านี้ได้  พูดชมว่าเขารับมือกับประสบการณ์นี้ได้ดีแค่ไหน “แผลของลูกดูเหมือนจะเจ็บมากๆ เลยนะจ๊ะ แต่ลูกก็แข็งแรงและเข้มแข็งอดทนดี ลูกดูแลตัวเองได้ดีมากๆ เลย  เยี่ยมมม ( พร้อมยิ้มกว้างๆ )”

ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆจากเว็ปhttp://www.real-parenting.comค่ะ